ราชาเพลงป๊อป อย่าง Michael Jackson ที่ล่วงลับจากโลกไปแล้วนั้น แท้จริงเป็นคนดำแต่ในช่วงที่เขาขึ้นเป็น ซุปเปอร์สตาร์ในปี 1989 ผู้คนก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าเขาเป็นคนดำ เพราะสีผิวของเขาเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน และค่อยๆ เปลื่ยนเป็นคนผิวขาวไปเลย ทำให้คนเข้าใจผิดกันมากมาย บางคนก็ว่าเขาเสพติดศัลกรรม บางคนก็ว่าเขาอยากเป็นคนผิวขาว
.
แต่ความเป็นจริงมันน่าเศร้ากว่านั้น เพราะที่สีผิวของเขาขาวแบบนั้น ต้นเหตุมาจากการที่เขามีอาการที่เรียกว่า โรคด่างขาว (Vitiligo)
.
พอเขาค่อย ๆ ขาวขึ้นก็เกิดข้อครหามากมายว่าเขาไปฟอกสีผิวมา ประกอบกับการที่เขาไปทำศัลยกรรมมามากมาย เพราะเขาเริ่มทำจมูกเป็นอย่างแรกตั้งแต่ปี 1979 แล้วก็ทำศัลยกรรมอื่นๆ มาอย่างต่อเนื่อง คนก็ประณามเขาว่าลืมกำพืดตัวเอง และเปลี่ยนแปลงร่างกายกระทั่งสีผิวเพราะเขาอยากเป็นคนขาว
.
Michael Jackson พยายามจะบอกโลกหลายรอบว่าเขาไม่ได้ขาวเพราะไปฟอกสีผิวมา แต่เขาเป็นโรคด่างขาว ซึ่งทำให้เขาผิวขาวด่างเป็นบางจุดในร่างกาย และความขาวก็กระจายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขาเลยต้องใช้เครื่องสำอางค์ปกปิดส่วนที่มีความด่างให้สีผิวเสมอกัน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขามักแต่งตัวมิดชิดใส่แขนยาวขายาวมาตลอดชีวิต
.
โดยโรคด่างขาวนี้ เป็นโรคทางผิวหนังที่เกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสีในผิวหนัง ถูกทำลายหรือไม่ทำงาน ทำให้เกิดจุด หรือบริเวณของผิวหนังที่สูญเสียเม็ดสี เกิดเป็นรอยด่างสีขาวบนผิวหนัง โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงใบหน้า แขน ขา และแม้กระทั่งบริเวณเยื่อเมือก เช่น ปาก และจมูก
.
โรคนี้พบได้ในอย่างน้อย 1 เปอร์เซ็นต์ของประชากร พบได้ทั้งหญิงและชายในอัตราเท่าๆ กัน และทุกเชื้อชาติ แต่ 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยทั้งหมด เริ่มเป็นเมื่ออายุ 10 - 30 ปี และ 1 ใน 5 พบว่า ผู้ป่วยมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
.