ในตำนานของชาวสุเมเรียนโบราณ มีการกล่าวถึงกลุ่มสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่เรียกว่า “อนูนาคี” (Anunnaki) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกลุ่มเทพหรือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกที่เดินทางมาสู่โลกเมื่อหลายหมื่นปีก่อน โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างอารยธรรมมนุษย์ รวมถึงดัดแปลงพันธุกรรมของมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์เพื่อให้กลายเป็นแรงงานหรือสิ่งมีชีวิตที่สามารถรับใช้พวกเขาได้ ตำนานนี้ถูกเล่าผ่านจารึกดินเหนียวของชาวสุเมเรียน ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมแรกของโลก
.
อนูนาคีไม่ได้มาเพียงเพื่อสอนเทคโนโลยีหรือสร้างเมืองเท่านั้น แต่ยังถูกกล่าวว่าพวกเขานำแนวคิดด้านจิตวิญญาณมาสู่มนุษย์ด้วย เช่น ความเข้าใจเรื่องชีวิตหลังความตาย วิญญาณ หรือการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ในคำสอนของพุทธศาสนาเช่นกัน
.
แม้ว่าอนูนาคีจะเป็นแนวคิดที่อยู่ในตำนานเมโสโปเตเมีย แต่เมื่อมองในเชิงเปรียบเทียบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า กลับมีความสอดคล้องในหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือแนวคิดเรื่องจักรวาล (โลกธาตุ) ซึ่งในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงโลกต่างๆ ที่ซ้อนทับกันอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งสวรรค์ นรก และภพภูมิต่างๆ ที่ไม่ได้จำกัดแค่โลกมนุษย์ ซึ่งคล้ายกับการเชื่อว่าอนูนาคีเป็นสิ่งมีชีวิตจาก “ดาวอื่น” หรือ “ภพภูมิอื่น”
.
อีกสิ่งที่น่าสนใจคือแนวคิดเรื่อง “พระพุทธเจ้าในหลายจักรวาล” หรือ “พระพุทธเจ้าพันองค์” ซึ่งตรงกับแนวคิดเรื่องการที่สิ่งมีชีวิตจากภพอื่นหรือดวงดาวอื่นเข้ามาช่วยชี้ทางสว่างให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ บางแนวคิดทางพุทธศาสนานิกายมหายานหรือวัชรยานในทิเบต ยังกล่าวถึงพระโพธิสัตว์หรือเทพที่มาจากจักรวาลอื่นเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ เช่น พระอมิตาภะ พระอวโลกิเตศวร ซึ่งเมื่อเทียบกับแนวคิดของอนูนาคี ก็คือสิ่งมีชีวิตผู้มีภูมิปัญญาสูงที่มาเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์
.
หากมองในเชิงเปรียบเทียบ แม้ศาสนาพุทธและตำนานของอนูนาคีจะเกิดขึ้นจากบริบททางวัฒนธรรมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีจุดร่วมบางประการที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องของ “สิ่งมีชีวิตจากโลกอื่น” หรือการยอมรับว่าจักรวาลนั้นกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสรรพชีวิตนอกเหนือจากมนุษย์โลกอย่างเรา
.
ในฝั่งตำนานของอนูนาคี พวกเขาถูกบรรยายว่าเป็น “ผู้ที่มาจากฟ้า” หรือ “ผู้ลงมาจากสวรรค์” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างมนุษย์และควบคุมความเป็นไปของโลก พวกเขาเหมือนตัวแทนของอำนาจจากโลกอื่น หรืออีกมิติหนึ่งที่เข้ามาแทรกแซงโลกมนุษย์ ในขณะที่พระพุทธศาสนาเอง แม้จะไม่มีการใช้คำว่า “ต่างดาว” แต่กลับมีคำอธิบายเกี่ยวกับ “ภพภูมิ” และ “ทวีปอื่น” ที่มีสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ หรือแม้แต่ดีกว่า เช่น ชาวอุตตรกุรุทวีปที่มีชีวิตสงบสุข อายุยืน และไม่มีการเบียดเบียนกัน
.
ยิ่งไปกว่านั้น คติเรื่อง “โลกธาตุ” ในพุทธจักรวาล ซึ่งหมายถึงระบบจักรวาลนับไม่ถ้วนที่มีทั้งพระอาทิตย์ พระจันทร์ โลก และสิ่งมีชีวิตเหมือนโลกนี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนารับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลกมาแต่โบราณ เพียงแต่ไม่เรียกด้วยภาษาสมัยใหม่ว่า “มนุษย์ต่างดาว” เท่านั้น
.
ดังนั้น แม้การเชื่อมโยงอนูนาคีกับศาสนาพุทธอาจไม่สามารถอ้างอิงตรงๆ จากพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ใดคัมภีร์หนึ่งได้โดยชัดเจน แต่เมื่อมองผ่านเลนส์ของแนวคิดเรื่องจักรวาลที่กว้างใหญ่และการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตมากมายในภพภูมิต่างๆ ก็พอจะสรุปได้ว่าทั้งสองแนวคิดต่างก็มีจุดร่วมในการยอมรับ “ชีวิตนอกโลก” และ “พลังอำนาจเหนือมนุษย์” ซึ่งบางทีอาจเป็นคนละชื่อ คนละภาพ แต่สะท้อนจินตนาการเดียวกัน
.