พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ถือเป็นวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธิ์และความเคารพนับถือในศาสนาพุทธ โดยเฉพาะในประเทศไทย ศรีลังกา และประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งเหล่านี้มีลักษณะคล้ายผลึกหิน สีสันต่างๆ เช่น ขาวใส ทอง เหลืองอำพัน หรือสีรุ้ง หากมีขนาดเล็กมักสามารถลอยน้ำได้ เมื่อลอยด้วยกันจะสามารถดึงดูดเข้าหากันได้ และลอยติดกันเป็นแพ สามารถเสด็จมาเพิ่มจำนวนขึ้นหรือลดลงได้เอง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระธาตุและเปลี่ยนขนาดและสีสันเองได้
.
โดยพระธาตุตามความเชื่อโบราณแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.พระบรมสารีริกธาตุ เป็นอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า 2.พระธาตุ อัฐิธาตุของพระสาวก หรือครูอาจารย์ผู้สำเร็จอรหันต์
.
พระบรมสารีริกธาตุ คือ พระบรมอัฐิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว โดยแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเป็น 8 ส่วน และถูกอัญเชิญไปก่อเป็นพระสถูปยังดินแดนต่าง ๆ อาทิ เมืองราชคฤห์, เมืองเวสาลี, เมืองกบิลพัสดุ์, เมืองกุสินารา, เมืองอัลกัปปะ, เมืองรามคาม, เมืองเวฏฐทีปะ และเมืองปาวา
.
ส่วน พระอรหันตธาตุ หรืออีกนัยหนึ่งคือ “พระธาตุ” เป็นส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของคนที่บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ ที่เหลือจากการถูกเผา และเหตุที่เรียกว่า “พระอรหันตธาตุ” เนื่องจากเป็นธาตุ (หรือกระดูก) ของเหล่าพระสาวก หรือสาวิกา ของพระพุทธเจ้า ที่กลายเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นเอง
.
ตามปกติ กระดูกมนุษย์จะกลายเป็นเถ้าถ่านหรือขี้เถ้าหลังจากการเผาไหม้ แต่ในบางกรณี กระดูกของพระอรหันต์กลับแปรเปลี่ยนเป็นผลึกแข็งคล้ายหินหรือวัตถุคล้ายเพชร นักวิทยาศาสตร์บางส่วนตั้งข้อสันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของแคลเซียมในกระดูก ที่อาจเกิดผลึกแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO₃) หรือแคลเซียมฟอสเฟต (Ca₃(PO₄)₂) เนื่องจากความร้อนสูงจากการเผา โดยทั่วไป กระดูกมนุษย์จะเผาไหม้จนเป็นเถ้าธรรมดาเมื่อเจอความร้อนสูงถึง 800-1000 องศาเซลเซียส แต่พระบรมสารีริกธาตุกลับยังคงรูปอยู่ในลักษณะที่เหมือนผลึก
.
นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี และแพทย์บางคนตั้งข้อสันนิษฐานว่าพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุอาจไม่ใช่กระดูกของมนุษย์ แต่เป็นผลึกธรรมชาติ เช่น หินควอตซ์ หรือหินแร่ที่พบได้ทั่วไปในดิน หรืออาจเป็นวัตถุที่นำมาจากภายนอกในพิธีกรรมทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์