คำสาปที่จารึกไว้บนศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธมในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 คือหนึ่งในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงพลังของศรัทธา ความเชื่อ และความกลัวต่ออำนาจแห่งเทพเจ้าในอารยธรรมขอมโบราณได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจนที่สุด จารึกนี้ไม่ใช่เพียงเอกสารบันทึกการบริจาคทรัพย์หรือการจัดสรรเจ้าหน้าที่ดูแลศาสนสถานเท่านั้น แต่ยังสะท้อนแนวคิดด้านกฎหมาย ศีลธรรม และระบบความเชื่อของผู้คนในยุคนั้นได้อย่างลึกซึ้ง
.
ช่วงต้นของจารึกกล่าวถึงการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ ข้าทาส และการมอบหมายทรัพย์สิน รวมถึงเงินทองที่นำมาถวายแด่พระศิวะ เพื่อประดิษฐานไว้ภายในปราสาท ซึ่งถือเป็นการถวายแด่เทพเจ้าอย่างเป็นทางการในนามของพระมหากษัตริย์ จารึกนี้บ่งชี้ว่า ศาสนสถานไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของอำนาจ การบริหารจัดการทรัพย์ และการแสดงบทบาทของรัฐในการอุปถัมภ์ศาสนาโดยตรง
.
อย่างไรก็ตาม ในด้านความลี้ลับและมิติทางจิตวิญญาณ คือช่วงท้ายของจารึก ซึ่งเป็น “คำสาป” ที่มีเนื้อหาชัดเจน ตรงไปตรงมา และทรงพลังที่สุดช่วงหนึ่งของอารยธรรมขอม คำสาปนี้เขียนไว้ว่า หากมีผู้ใดบังอาจแตะต้อง ลบหลู่ หรือทำลายวัตถุที่ถวายแด่พระศิวะ ผู้กระทำนั้นจะต้อง “ตกนรกหมกไหม้ในขุมนรกอันมืดมิด จนสิ้นกาลมหาโกฏิ”
.
สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือความเชื่อว่าปราสาทพิมายในไทยอาจเป็นต้นแบบของนครวัดในกัมพูชา เนื่องจากลักษณะสถาปัตยกรรมมีความใกล้เคียงกันและปราสาทพิมายก็เก่าแก่กว่า นี่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแผ่นดินที่เคยเป็นอาณาจักรขอมในอดีตนั้น จริง ๆ แล้วเป็นของใคร ไทยหรือเขมร?
.
การเลือกใช้ภาษาสันสกฤตที่หนักแน่น สะท้อนถึงความรุนแรงของการลงโทษ ไม่ใช่แค่ในชีวิตปัจจุบัน แต่ยังรวมไปถึงในโลกหลังความตาย ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานจนไม่มีที่สิ้นสุด คำว่า “ขุมนรกอันมืดมิด” ไม่ได้หมายถึงเพียงสถานที่ แต่หมายถึงสภาวะที่ปราศจากปัญญา ความสว่าง หรือหนทางหลุดพ้น และ “กาลมหาโกฏิ” คือช่วงเวลาที่ไม่มีจุดจบ ชัดเจนว่าผู้กระทำผิดจะไม่มีวันได้รับการให้อภัยหรือการชดใช้กรรมอย่างเบาบางลงเลย
.
คำสาปนี้ยังมีนัยที่ลึกไปกว่าการลงโทษส่วนบุคคล เพราะมันสะท้อนถึงเจตจำนงของรัฐในการปกป้องศาสนสถานและทรัพย์ของเทพเจ้าด้วยอำนาจทางจิตวิญญาณ เป็นกลยุทธ์ทางวัฒนธรรมที่ทรงพลังในการควบคุมพฤติกรรมผู้คน ด้วยการปลูกฝังความกลัวต่อผลกรรม และตอกย้ำความศักดิ์สิทธิ์ของระบบความเชื่อในสังคมศักดินาแบบขอม นอกจากนี้ยังสะท้อนความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างอำนาจทางโลก (พระมหากษัตริย์) กับอำนาจทางธรรม (เทพเจ้า) ที่รัฐใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครอง
.
คำสาปในศิลาจารึกของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 จึงไม่ใช่แค่คำขู่ธรรมดา แต่มันคือภาพสะท้อนของโลกทัศน์ ระบบคุณค่า และวิธีจัดระเบียบสังคมในโลกโบราณ ซึ่งศาสนาและความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แยกออกจากอำนาจรัฐ หากแต่เป็นแก่นกลางของการบริหารแผ่นดินและวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้นอย่างแนบแน่นและลึกซึ้ง
.
หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันยังย้ำเตือนถึงพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เช่น เหตุการณ์ฟ้าผ่าที่ปราสาทนครวัดในปี 2568 หลังมีการทำพิธีเกี่ยวกับคำสาปโบราณ ซึ่งทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า คำสาปเหล่านี้ยังคงมีผลหรือไม่ หรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
.
แม้เวลาจะผ่านไปนับพันปี คำสาปบนศิลาเหล่านี้ยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนในใจผู้คน และทำให้เราต้องหันกลับมาทบทวนถึงพลังของศรัทธา ความเชื่อ และความเคารพต่ออดีตที่เราอาจมองข้ามไป
.