HOME
 
 
CONTACT
  LIFESTYLE  
 

รู้หรือไหมว่า? โรคเก๊าท์ที่สร้างความเจ็บปวด
แก่ใครหลายคน นั้นเคยเป็นเทรนด์โรคสุดฮิต
ของคนสมัยก่อน

 
  21/02/2023  
 

เพื่อเอาไว้อวดความร่ำรวยของตนเองในอดีตด้วย ‘โรคเก๊าท์’ ในสมัยก่อนมักจะรู้จักกันในนาม ‘โรคของพระราชา’ หรือ ‘โรคของคนรวย’ เพราะด้วยความเชื่อที่ว่ามันเป็นโรคที่เกิดขึ้นแค่กับพวกเจ้าและคนร่ำคนรวย หรือพระราชาเท่านั้น อีกทั้งคนสมัยนั้นยังเชื่อกันว่าเก๊าท์ช่วยทำให้มี sex ได้นานขึ้นอีกด้วย ในสมัยนั้นถึงขั้นมีคนยอมเป็นเก๊าท์เพื่อจะได้อวดว่าตนเองร่ำรวยและมีฐานะสูงส่งกันเลยทีเดียว

ตั้งแต่ยุคกรีกโรมันไปจนถึงหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โรคเก๊าท์คือโรคที่เกิดขึ้นในเหล่าชนชั้นสูงผู้มีอันจะกินเท่านั้น เพราะปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์มีส่วนมาจาก การรับประทานแอลกอฮอล์และเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่มีแต่คนรวยเท่านั้นที่จ่ายได้ และโรคเก๊าท์มักจะเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง(แต่ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น)

ซึ่งพระราชา ผู้นำตระกูล นักรบ นักการเมือง หรือขุนนางในอดีตล้วนมีแต่ผู้ชายทั้งสิ้น จึงเป็นสาเหตุที่โรคเก๊าท์ได้รับการขนานนามว่าเป็นโรคของพระราชา หรือ Disease of the King

ในเมื่อโรคเก๊าท์มักจะเกิดแค่กับพระราชาหรือพวกชนชั้นสูง ทำให้เหล่าชนชั้นสูงสร้างแนวคิด หรือสร้างกระแสว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่แต่ชนชั้นล่างไม่เป็นนั้นดีงามเหลือเกิน ตัวอย่างเช่น ศตวรรษที่ 16 ผู้ชายในยุคนั้นก็เชื่อกันว่า เจ้าก้อนโทไฟของชายชาตรีเป็นสิ่งกระตุ้นอารมย์ทางเพศของผู้หญิง นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสนามว่า Michel de Montaigne ได้กล่าวไว้ว่า ยิ่งขาของชายนั้นอ่อนแรง(ปวดเท้าจากโรคเก๊าท์)มากเท่าไหร่ อวัยวะเพศของชายผู้นั้นจะแข็งแรงและดุดันมากเท่านั้น

และในศตวรรษที่ 18 ก็มีแนวคิดว่าโรคเก๊าท์เป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย ทำให้ระบบสืบพันธ์ของคุณผู้ชายได้พักผ่อน ก็เพราะเดินไม่ได้ต้องนอนพักอยู่กับที่ ทำให้อสุจิไหลย้อนกลับไปที่ไต ใครที่อ่านก็ถึงกับต้องงงกันทุกคน แต่ก็อย่าลืมว่าคนสมัยนั้นมีความรู้เรื่องการทำงานของร่างกายน้อยมากเมื่อเทียบกับสมัยปัจจุบัน

คนที่เป็นโรคเก๊าท์อธิบายถึงโรคนี้ว่ามันทรมานมาก ถึงขั้นที่มีแพทย์กล่าวถึงมันว่าเป็นโรคที่ทรมานจนใส่เสื้อผ้าไม่ได้ และผู้ที่เป็นจะรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากแค่ฝีเท้าของคนที่เดินเข้ามาในห้อง และจะเจ็บเป็นพิเศษที่นิ้วหัวแม่โป้งเท้า

แล้วทำไมคนในสมัยนั้นถึงเรียกโรคเก๊าท์ว่าเป็นโรคของพระราชากัน? นั่นก็เพราะว่าในอดีต จากบันทึกของ แพทย์ชาวกรีกนามว่า Hippocrates (บิดาแห่งการแพทย์) มีชีวิตอยู่ในช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล บรรยายถึงโรคเก๊าท์ไว้ว่าเป็นโรคที่เกิดจากเสมหะ

และเชื่อมโรคนี้กับการบริโภคอาหารและดื่มแอลกอฮอลล์แบบตามใจตนเองมากจนเกินไป ซึ่งก็มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ ซึ่งหลายคนตั้งใจจะเป็นโรคนี้เพียงเพื่อได้พิสูจน์ฐานะความร่ำรวยของตัวเอง อีกทั้ง Hippocrates ยังได้ตั้งชื่อโรคนี้ว่า โรคข้ออักเสบของคนรวย (Arthritis of the Rich) อีกด้วย

ซึ่งการรักษาโรคเก๊าท์ก็มีหลากหลายวิธีมาก และก็จะมีพวกวิธีแปลกพิสดารอยู่มาก แต่มีอยู่หนึ่งวิธีที่น่าตกใจมาก ก็คือ มีหมอท่านหนึ่งแนะนำว่าต้อง กินห่านย่างที่ยัดไส้ด้วยแมวสับ, น้ำมันหมู, เครื่องหอม, ขึ้ผึ้ง และ แป้งจากข้าวไรย์ ซึ่งวิธีนี้มันก็มีคนนำไปทำตามจริง ๆ

บางคนอยากเป็นโรคเก๊าท์เพราะเชื่อว่ามันสามารถป้องกันโรคอื่น ๆ ได้ ซึ่งเพราะโรคนี้ส่วนมากเป็นในพวกคนรวยมากกว่าคนที่ยากจน จึงทำให้มีความเชื่อที่ว่ามันจะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ที่คนจนติดกันได้ บางคนก็คิดว่าการเป็นเก๊าท์ถือเป็นยารักษาโรคแต่ไม่ใช่โรคอีกด้วย

บางคนก็เชื่อว่าโรคนี้ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยมีแพทย์บันทึกไว้ว่า เมื่อขาของผู้ชายอ่อนแรงลง “น้องชาย” ของผู้ชายจะใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น โดยคนเป็นโรคนี้จะไม่ต้องออกกำลังกาย เพราะแข็งแรงอยู่แล้วจากการเป็นโรคนี้

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีบุคคลดังหลายคนที่เป็นโรคเก๊าท์ ได้แก่ คิงเฮนรี่ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ผู้โด่งดังจากการมีราชินีถึง 6 พระองค์ คนต่อมาคือเบนจามิน แฟรงค์คลิน (Benjamin Franklin) ซึ่งคือผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกา ความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสที่เท้า ทำให้เขาเดินลำบากและต้องนั่งเสลี่ยง เพื่อเดินทางเข้าประชุมสภา เขาถึงกับเขียนไดอารี่ถึงโรคเก๊าท์ของเขาว่า “โอ้ แม่นางเก๊าท์ ฉันได้ทำอะไรลงไปถึงได้รับความทรมานที่แสนจะโหดร้ายเยี่ยงนี้” ในบั้นปลายชีวิต แฟรงค์คลินได้เสพติดฝิ่นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่เขาเผชิญอีกด้วย

จุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ที่โรคนี้มีอิทธิพลคือเมื่อจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 ติดโรค ซึ่งราชาองค์นี้ก็เป็นที่รู้ ๆ กันของคนทั่วไปว่าชอบกินเนื้อและดื่มไวน์กับเบียร์เป็นอย่างมาก แต่เมื่อเป็นโรคเก๊าท์ จึงทำให้ราชาแทบไม่สามารถปกครองได้ สุดท้ายก็ถึงขั้นยอมแพ้ ให้ฝรั่งเศสชนะได้เมืองไป เขาถึงขั้นยอมสละบัลลังก์ และกลายเป็นบาทหลวงเพราะโรคนี้เลยทีเดียว อย่างน้อยก็ถือเสียว่าเป็นโชคดีของเขาที่ไม่ต้องตัดสินใจอะไรที่ยิ่งใหญ่ระหว่างที่กำลังปวดเก๊าท์อยู่ เชื่อว่าหลังจากที่เขาสละราชบัลลังก์ อาการของโรคเก๊าท์ได้กำเริบหนักมากจนเดินแทบไม่ได้

สนธิสัญญาระหว่างอังกฤษกับโปรตุเกสยังเป็นชนวนที่ทำให้คนป่วยโรคเก๊าท์ในอังกฤษเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะในช่วงนั้น อังกฤษนำเข้าไวน์จากโปรตุเกสแทนฝรั่งเศส ซึ่งไวน์จากโปรตุเกสมีตะกั่วผสมอยู่มาก ทำให้ชาวอังกฤษดื่มไวน์เข้าไปติดโรคเก๊าท์มากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยโรคเก๊าท์นี้เป็นได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะเก๊าท์เนี่ยจะเกิดขึ้นถ้ามีค่ากรดยูริกในร่างกายมาก ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงจะช่วยป้องกันในเรื่องนี้ แต่เมื่อผู้หญิงแก่ตัวไปและฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ก็มีสิทธิ์เป็นได้มากเช่นกัน และโรคนี้อาจติดต่อทางพันธุกรรมได้ด้วย

การรักษาโรคเก๊าท์ก็มีมานานเช่นกัน การรักษาโรคเก๊าท์ครั้งแรกถูกบันทึกในคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยแพทย์ชาวคริสเตียนนามว่า Alexander of Tralles แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ (ตุรกีในปัจจุบัน)เขาได้รักษาโรคเก๊าท์ด้วยยาที่ทำจากดอกไม้ที่ชื่อว่า autumn crocus ในเวลาต่อมาอีกนานแสนนาน เจ้าดอก autumn crocus ได้ถูกนำมาสกัดเป็นยา colchicine หนึ่งในยาที่ใช้รักษาโรคเก๊าท์ในปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์ของโรคภัยไข้เจ็บนั้นจะอยู่ควบคู่กับมนุษย์เสมอและบางครั้งก็มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ แม้โรคเก๊าท์จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้เท่ากับโรคโควิดก็ตาม ปัจจุบันได้มีการคิดค้นยาเพื่อรักษาโรคเก๊าท์โดยเฉพาะและยาลดอาการปวดที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการปวดเท้าและอาการอื่น ๆ สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและดำเนินชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป

___________________

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.youtube.com/watch?v=5c_YoU0Kdvk
https://www.theatlantic.com/.../every-man-a-king.../258059/
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3226106/

https://www.historydefined.net/the-history-of-gout/

 
           
Copyright © 2021 SOCOOL LIMITED. All right reserved.