ทฤษฎีโลกกลวง (Hollow Earth Theory) เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าโลกของเรามีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่หรือโลกอีกใบที่ซ่อนอยู่ภายในเปลือกโลก ซึ่งแนวคิดนี้มักมีการเชื่อมโยงกับอารยธรรมใต้พิภพหรือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลกใต้ดิน ทฤษฎีนี้มีประวัติยาวนานและได้รับความสนใจทั้งในด้านตำนานและนิยายวิทยาศาสตร์
.
หนึ่งในจุดเริ่มต้นของทฤษฎีโลกกลวงเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 เมื่อ Edmund Halley นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้เสนอแนวคิดที่ว่าโลกอาจประกอบไปด้วยเปลือกโลกหลายชั้นและมีพื้นที่ภายในโลกเป็นหลุมหรือโลกกลวง เขาเสนอว่าอาจจะมีการเกิดปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่ทำให้โลกมีลักษณะเป็นหลุมที่สามารถมีชีวิตหรืออารยธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นจากภายนอก
.
ตลอดศตวรรษที่ 18 และ 19 แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยนักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์บางคนเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ของโลกกลวง บางคนยังเชื่อว่ามีการสื่อสารระหว่างโลกภายนอกและโลกภายในผ่านทางโพรงหรือทางเดินใต้ดิน ในปี 1818 John Cleves Symmes นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้เสนอทฤษฎีที่โลกมีโพรงอยู่ภายในที่สามารถเข้าไปได้ผ่านทางขั้วโลกทั้งสอง
.
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แนวคิดโลกกลวงได้ถูกนำไปสู่การเป็นส่วนหนึ่งของนิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับความนิยมจากการแต่งเรื่องเช่น Journey to the Center of the Earth โดย Jules Verne หรือ Godzilla: King of the Monsters ที่ได้วาดภาพโลกภายในที่มีอารยธรรมต่างๆ เช่น สัตว์ประหลาดหรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนใต้พื้นโลก
.
อีกเร่องราวใต้พิภพได้กล่าวถึงอารยธรรมของชาว Agartha หรือที่บางครั้งเรียกว่า Agartha Civilization เป็นหนึ่งในตำนานของโลกกลวงที่ได้รับความนิยมในวงการสมคบคิดและลี้ลับโดยอ้างว่าเป็นอารยธรรมที่อาศัยอยู่ในโลกใต้พิภพที่ลึกเข้าไปภายในโลกเรา
.
ตำนานของชาว Agartha มีความเกี่ยวข้องกับโลกที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากพื้นผิว และมักจะถูกเชื่อมโยงกับทวีปหรือดินแดนลึกลับที่ตั้งอยู่ใต้พื้นโลก แนวคิดนี้ได้รับการกล่าวถึงในหลายวรรณกรรมและเรื่องเล่าของนักวิทยาศาสตร์และนักเขียนในศตวรรษที่ 19-20 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากทฤษฎีโลกกลวงและความเชื่อในอารยธรรมที่ซ่อนอยู่ในที่มืด
.
หนึ่งในตำนานที่โดดเด่นเกี่ยวกับชาว Agartha คือเรื่องเล่าของ Ragnar Redbeard นักวิจัยและนักผจญภัยที่กล่าวถึงโลกใต้พิภพแห่งนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเขาอ้างว่าได้เข้าไปในโลกใต้ดินนี้ผ่านทางโพรงที่ขั้วโลกใต้ และได้พบกับชาว Agartha ซึ่งเป็นผู้ที่มีเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่เจริญกว่ามนุษย์บนพื้นผิวโลก
.
ตามตำนาน ชาว Agartha เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตที่ยืนยาว มีความรู้และเทคโนโลยีล้ำหน้ามากกว่ามนุษย์บนโลกภายนอก บางตำนานกล่าวว่าชาว Agartha เป็นผู้ที่เข้าใจการใช้พลังงานจากแหล่งที่มาจากภายในโลก ซึ่งทำให้พวกเขามีความสามารถในการควบคุมพลังงานธรรมชาติและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
.
ตามตำนานนั้นได้กล่าวไว้ว่าช่องทางหลักที่จะสามารถพาเราลงไปสู่ยังอการ์ธาฮ์ได้นั้นก็คือหลุมขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ยังขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ซึ่งชาวอการ์ธานก็มักที่จะขับยานพาหนะที่มีทรงจานผ่านออกมาจากทางหลุมนั้น นอกจากช่องทางหลักดังกล่าว ก็ยังมีช่องทางยิบย่อยที่ได้ถูกซุกซ่อนอยู่ยังที่ต่าง ๆ ทั่วทุกมุมของโลก
.
ทฤษฎีนี้ยังคงถูกนำเสนอในวงการสมคบคิดและเรื่องลี้ลับต่างๆ แม้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันความเป็นจริงของทฤษฎีโลกกลวง แต่ยังคงเป็นหัวข้อที่ทำให้ผู้คนสนใจและคาดเดาถึงความเป็นไปได้ของโลกใต้พิภพและอารยธรรมที่อาจซ่อนอยู่ใต้พื้นโลก
.