รู้หรือไม่ว่า คนส่วนมากมองพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์ผู้ถูกจดจำว่าหมกมุ่นในสตรี ไร้ความสามารถ ไม่สนใจราชการบ้านเมืองจนทำให้เสียกรุงศรีอยุธยาไป แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น
.
มีเรื่องเล่าที่ถูกถ่ายทอดกันมาช้านานเกี่ยวกับการป้องกันกรุงศรีอยุธยาในช่วงสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2 ว่ามีความเสื่อมโทรมและขาดประสิทธิภาพอย่างมาก เนื่องจากพระเจ้าเอกทัศน์ พระมหากษัตริย์ในขณะนั้น ทรงหมกมุ่นอยู่กับความรักในสตรี จนถึงขั้นทรงสั่งห้ามการยิงปืนใหญ่ หรือบางแห่งก็เล่าว่าทรงสั่งลดการใช้ดินปืนลง เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้สนมหูแตกหรือสะดุ้งตกใจ ซึ่งทำให้ไม่สามารถยิงปืนใหญ่ข้ามพระนครไปถึงค่ายของพม่าได้
.
บางที่กล่าวว่า ก่อนที่ทหารจะยิงปืนใหญ่ในแต่ละครั้ง จำเป็นต้องขออนุญาตจากศาลาลูกขุนก่อน โดยต้องรอให้สนมอุดหูก่อนจึงจะสามารถยิงได้ ทำให้ครั้งหนึ่งพระยาตากเคยยิงปืนใหญ่โดยไม่ขออนุญาตจากศาลาลูกขุน จึงได้รับภาคทัณฑ์จากพระเจ้าเอกทัศน์ที่ไม่เห็นด้วยกับการยิงปืนใหญ่เพราะกลัวว่าพระสนมจะตกใจ
.
ความจริงแล้วกระสุนปืนใหญ่ในช่วงนั้นมีจำนวนจำกัด ดังนั้น เมื่อจะยิงปืนใหญ่ ทหารต้องไปแจ้งที่ศาลาลูกขุน ซึ่งเป็นที่ประชุมของแม่ทัพนายกอง เพื่อให้พวกเขาพิจารณากันก่อนว่าในขณะนั้นควรยิงหรือไม่ หากเห็นว่ายังไม่จำเป็นก็จะสั่งห้ามการยิง เพื่อประหยัดกระสุนไว้ใช้ในยามที่จำเป็นจริง ๆ
.
แต่คำเล่าขานเหล่านี้กลับถูกตีความไปในทางที่ผิด จนบางคนถึงกับใส่ความว่า พระเจ้าเอกทัศน์ทรงสั่งห้ามยิงปืนใหญ่เพราะกลัวสนมจะตกใจจากเสียงปืน ซึ่งเป็นการตีความที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย
.
จากการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ถูกถ่ายทอดกันมา เราจะเห็นว่าไม่เสมอไปที่เรื่องราวเหล่านั้นจะตรงกับความเป็นจริง อย่างเช่นกรณีของพระเจ้าเอกทัศน์ ซึ่งโดยทั่วไปมักถูกมองว่าเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอและหมกมุ่นกับสตรีจนเป็นสาเหตุที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาตกอยู่ในมือของพม่า แต่หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ในแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่า เราอาจจะเห็นว่า พระเจ้าเอกทัศน์อาจจะพยายามทำทุกอย่างตามที่ดีที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเสียกรุงศรีอยุธยาได้ เพราะว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์สามารถมองได้หลายแง่มุม
.