การทำนายนางสงกรานต์ในแต่ละปีเป็นหนึ่งในขนบธรรมเนียมและความเชื่อโบราณของไทยที่มีรากฐานมาจากผสมผสานของคติความเชื่อทางศาสนา ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และวรรณกรรมพื้นบ้าน โดยมีเป้าหมายเพื่อทำนายเหตุการณ์บ้านเมือง ฟ้าฝน พืชผล และสภาวะต่าง ๆ ของปีที่จะมาถึง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของคนไทยสมัยก่อนที่เชื่อว่าธรรมชาติและจักรวาลมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์
.
ต้นกำเนิดของ "นางสงกรานต์" มาจากตำนานพื้นบ้านที่เรียกว่า ตำนานท้าวกบิลพรหมและธิดาทั้ง 7 ซึ่งเกี่ยวข้องกับวันมหาสงกรานต์ตามคติของไทยและวัฒนธรรมอินเดีย โดยตำนานกล่าวว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า “ธรรมบาล” ซึ่งมีบุตรชายชื่อว่า “ธรรมบาลกุมาร” เป็นเด็กฉลาดเฉลียว รู้ภาษานก และสามารถท่องจำพระเวทต่าง ๆ ได้ เมื่อเติบโตขึ้นมีชื่อเสียงโด่งดังไปถึง “ท้าวกบิลพรหม” ซึ่งเป็นพรหมองค์หนึ่งในสวรรค์ ท้าวกบิลพรหมเกิดความสงสัยว่ามนุษย์ที่เกิดมาแล้วรู้มากจริงหรือไม่ จึงมาท้าธรรมบาลกุมารตอบปริศนา หากตอบไม่ได้จะถูกตัดศีรษะ แต่หากตอบได้ท้าวกบิลพรหมจะยอมตายเสียเอง
.
ธรรมบาลกุมารสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง ทำให้ท้าวกบิลพรหมจำต้องตัดศีรษะของตนเอง แต่หัวของท้าวกบิลพรหมมีฤทธิ์แรงมาก หากตกลงสู่พื้นโลกจะทำให้เกิดไฟไหม้โลก หากลอยขึ้นฟ้าจะทำให้ฝนแล้ง และหากทิ้งลงน้ำจะทำให้น้ำแห้ง พรหมจึงสั่งเสียให้บรรดาธิดาทั้ง 7 ของตนเองผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาอัญเชิญศีรษะไปเก็บไว้ในถ้ำถาดทองคำ ณ เขาไกรลาส โดยทุกปีจะมีการอัญเชิญศีรษะมาประกอบพิธีบูชาในวันมหาสงกรานต์ จึงเป็นที่มาของการเกิด "นางสงกรานต์" ทั้งเจ็ดนาง ซึ่งหมายถึงวันต่าง ๆ ของสงกรานต์ตามปฏิทินจันทรคติ
.
นางสงกรานต์แต่ละองค์จะมีชื่อ ลักษณะ อาหาร เครื่องประดับ สัตว์พาหนะ และอาวุธประจำกายแตกต่างกันออกไป โดยจะเปลี่ยนไปตามวันที่ “พระอาทิตย์” เคลื่อนย้ายเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันเริ่มต้นปีใหม่ตามปฏิทินโบราณ โดยการคำนวณนี้อิงจากโหราศาสตร์ไทยและอินเดียซึ่งใช้ระบบ "สุริยคติแบบโบราณ" (คล้ายกับสากลแต่มีรายละเอียดเฉพาะ) ในการกำหนดช่วงเวลา
.
การรู้ว่าในแต่ละปี "นางสงกรานต์" องค์ใดจะเสด็จมานั้น เป็นผลจากการคำนวณด้วยหลักโหราศาสตร์ โดยจะดูตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในเวลาที่เข้าสู่ราศีเมษ จากนั้นจะนำข้อมูลวัน เวลา และพิกัดของพระอาทิตย์มาคำนวณประกอบกับคัมภีร์โบราณ เช่น คัมภีร์มหาทักษา หรือ ตำราอินทรปักษ์ ซึ่งจะบอกว่านางใดจะเป็นผู้มาในปีนั้น เช่น หากวันมหาสงกรานต์ตรงกับวันจันทร์ ก็จะเป็นนางทุงษะเทวี ซึ่งเป็นธิดาองค์ที่ 2 ของท้าวกบิลพรหม เป็นต้น
.
ชื่อของนางสงกรานต์ทั้ง 7 มีดังนี้ (แต่จะไม่เรียงตามวันธรรมดา เพราะเรียงตามลำดับการเกิดในตำนาน)
นางเกตุมาเทวี
นางโคราคเทวี
นางรากษสเทวี
นางมณฑาเทวี
นางกิริณีเทวี
นางกิมิทาเทวี
นางทุงษะเทวี (นางสงกรานต์ปี 2568 ) ปัจจุบัน
.
แต่ละนางจะมี “สัตว์พาหนะ” และ “ของเสวย” ที่แตกต่างกัน เช่น นางมณฑาเทวี จะขี่ม้าปีกขาว มือถือปืน เสวยข้าวสาลี ส่วน นางโคราคเทวี จะขี่เสือ มือถือตรีศูล เสวยเลือด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็จะนำไปใช้ในการตีความ "ทำนาย" ภัยพิบัติ ฝนฟ้า โรคภัย และโชคลาภของแต่ละปีี
การประกาศ "คำพยากรณ์" หรือ "ประกาศสงกรานต์" จึงถือเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดมานาน และเคยเป็นพิธีสำคัญในราชสำนักสมัยโบราณ ซึ่งโหรหลวงจะเป็นผู้ทำพิธีและประกาศให้ประชาชนทราบ ทั้งเพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อให้เตรียมตัวรับปีใหม่อย่างมีความหวังและสติ
.
ทุกวันนี้ แม้สังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปมาก การทำนายนางสงกรานต์ก็ยังคงเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่เทศกาล โดยมักจะมีประกาศจากกรมอุทกศาสตร์ กรมโหราศาสตร์ หรือหน่วยงานด้านวัฒนธรรมต่าง ๆ และมีการจัดขบวนแห่นางสงกรานต์ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือและอีสาน ซึ่งให้ความสำคัญกับประเพณีนี้มากเป็นพิเศษ
.
ดังนั้น การทำนายนางสงกรานต์ไม่ใช่เพียงการ "ดูดวงประจำปี" เท่านั้น แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีรากเหง้ามาจากคติความเชื่อ ความศรัทธา และความรู้ที่ผสมผสานกันอย่างงดงามของโลกตะวันออก ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในเทศกาลที่สำคัญที่สุดของไทยอย่าง "สงกรานต์" จนถึงทุกวันนี้
.