เชื่อหรือไม่? เหล่าชนชั้นสูงในยุคกลางของยุโรปมักจะใช้ “น้ำตาล” ในการโอ้อวดความร่ำรวย
.
ในยุคกลางของยุโรปช่วงศตวรรษที่ 13 เป็นช่วงที่ยุโรปยังต้องนำเข้าน้ำตาลจากตะวันออกกลางเท่านั้น ทำให้น้ำตาลเป็นสินค้าที่มีราคาสูง และจับต้องยากจากประชาชนทั่วๆไป ผู้ครอบครองน้ำตาลส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีฐานะ หรือเหล่าชนชั้นสูงเท่านั้น
.
โดยการอวดรวยในช่วงยุคกลางจะไม่ใช่อวดเพียงแต่น้ำตาลธรมดาๆ แต่จะใช้น้ำตาลมาปั้นเป็นรูปเป็นร่างต่างๆ ซึ่งรูปปั้นที่ว่านี่ไม่ใช่แค่รูปปั้นหรือตุ๊กตาตัวเล็กๆ แต่เป็นรูปปั้นประติมากรรมของเมืองทั้งเมือง โบสถ์ ปราสาท หรือเป็นรูปปั้นสัตว์ต่างๆ เช่น อูฐ ช้าง ม้า เต่า สุนัข หรือจะปั้นเป็นเทพเจ้าต่างๆ ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้น
.
โดยช่างต้องใช้ความละเอียดในการปั้นสูง ยิ่งรูปประติมากรรมน้ำตาลปั้นยิ่งใหญ่อลังการ พร้อมทั้งยังตกแต่งด้วยสีทองและสีเงินให้ดูหรูหราเท่าไหร่ จะยิ่งสามารถโชว์ความร่ำรวยของเจ้าบ้านมากเท่านั้น
.
โดยน้ำตาลที่ถูกใช้จะต้องผ่านกระบวนการโดยใช้วิธีผสมน้ำตาลกับน้ำให้เป็นก้อนๆ ให้มีลักษณะคล้ายติดน้ำมัน หรือผสมน้ำตาลกับกัมอารบิก (เป็นสารประกอบเจือปนอาหารจากรรมชาติที่ทำให้อาหารมีความหนืด) ทำให้น้ำตาลเป็นก้อนเหนียวๆสีขาว จึงสามารถนำมาปั้นเป็นรูปทรงต่างๆได้ รูปปั้นที่ทำจากน้ำตาลผสมกัมอารบิกยังค่อนข้างทนทาน คงสภาพเดิมไว้แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม
.
โดยน้ำตาลปั้นเหล่านี้มักจะถูกเสิร์ฟก่อนมื้ออาหารหลัก เพราะมีความเชื่อว่าน้ำตาลสามารถเป็นออเดิร์ฟก่อนทานอาหารมื้อหลักได้ดี หรือไม่ก็เสิร์ฟคั่นระหว่างจานอาหารต่างๆ นอกจากนี้อาชีพช่างปั้นน้ำตาล ก็ถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติและเงินดีมากๆ เช่นกัน ซึ่งการปั้นรูปปั้นน้ำตาลนั้นต้องใช้ทักษะฝีมือและความละเอียดอ่อนสูงมาก
.
จนมาถึงช่วงศตวรรษที่ 16 น้ำตาลก็ได้ถูกลดบทบาทลง ราคาของน้ำตาลก็ลดลงอย่างมาก ประชาชนคนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงน้ำตาลได้มากขึ้น น้ำตาลจึงกลายมาเป็นวัตถุดิบธรรมดาๆ จนมาถึงปัจจุบันนี้เอง
.
